แล้วปี 2564 มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม…
- สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ VS จีน ยังชนกันเพื่อแย่งชิงความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะจีนเติบโตและแผ่อิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วทั้งในเอเชียและทั่วโลก ซึ่งสหรัฐฯก็ยังคงยืนยันที่จะลดทอนการแผ่ขยายทางเศรษฐกิจของจีน ด้านการเมืองของสหรัฐฯ นาย Joe Biden ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. 2564 หน้าที่หลักคือฟื้นฟูประเทศจากพิษ COVID- 19 และสร้างการเติบโตให้สหรัฐฯในทางเศรษฐกิจ ถึงรูปแบบอาจจะต่างจาก Trump คือเป็นทางการมากขึ้น คุยเจรจาบนโต๊ะแบบพหุและทวิภาคีแต่เป้าหมายยังคงเดิม ความผันผวนจึงน่าจะลดลงกว่าสมัย Trump งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 9 แสนล้านดอลลาร์ผ่านแล้ว ประกอบกับนโยบาย Buy American กระตุ้นการลงทุนในสหรัฐฯจะส่งผลให้ปี 2564 โดยเฉพาะครึ่งปีแรกเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ และกำไรบริษัทจดทะเบียนคาดฟื้นตัวโตประมาณ 20% จากฐานที่ต่ำ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเติบโตต่อไปได้ ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวแต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องการขึ้นภาษีนิติบุคคล
- นโยบายด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ ถึง Joe Biden จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน Trump แต่นโยบายยังคงเน้นสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ, ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ, BUY AMERICAN วงเงิน 4 แสนล้านเหรียญ และนโยบายเร่งด่วนด้านสาธารณสุข COVID19 นโยบายรองๆลงมาได้แก่การขึ้นค่าแรง การขึ้นภาษีนิติบุคคล สนันสนุนพลังงานสะอาด ลดโลกร้อน โดยรวมสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวและเติบโตได้ จากนโยบายเศรษฐกิจทำให้ปีนี้ยังมีแรงส่งด้านการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
- นโยบายด้านต่างๆ ของจีน เศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งในปี 2563 และคาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อไปในปีหน้าประมาณ 7-8% การส่งออก การนำเข้า การบริโภคภายในประเทศยังเติบโตดี แต่ยังมีประเด็นเรื่องการตรวจสอบบริษัท Big Tech ของจีนในเรื่องการผูกขาดธุรกิจ E-Commerce การใช้ข้อมูลของผู้ใช้บริการ การขยายกิจการ ซึ่งระยะสั้นส่งผลต่อบริษัทเทคฯจีนขนาดใหญ่อย่าง Tencent Alibaba แต่ระยะยาวน่าจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ทั้งเรื่องความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการขยายกิจการ การควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition หรือ M&A) และทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสเติบโตได้ ทางการจีนยังคงมุ่งหวัง Made in China 2025 สร้างการเติบโตประเทศด้วยธุรกิจแบบ New Economy เน้น Technology AI โดยหลังการเลือกตั้งของสหรัฐฯ คาดว่า Fund Flow น่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นจีนอย่างมากและต่อเนื่อง
- สถานการณ์ COVID-19 วัคซีนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2564 ซึ่งจะเริ่มใช้และจัดส่งได้ในปีนี้ แต่ต้องใช้เวลาในการกระจายวัคซีน และยังมีประเด็นเรื่องสายพันธ์ใหม่ของไวรัสที่จะกระทบตลาดเป็นพักๆ ประสิทธิภาพของวัคซีน ความยากของการขนส่งคือการต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำมากและต้องฉีดซ้ำ 2-3 ครั้ง ซี่งการผลิตวัคซีนในจำนวนที่มาก ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยาตั้งแต่ผู้ผลิตวิจัยยา เวชภัณฑ์ ธุรกิจต่อเนื่องตลอดสายจะได้รับประโยชน์ จึงทำให้ปี 2564 กลุ่ม Health Care มีความน่าสนใจ อีกทั้งวัคซีนยังสร้างความมั่นใจให้กับการเปิดเมืองและการฟื้นกลับของธุรกิจ
- อัตราดอกเบี้ยยังต่ำทั่วโลก สภาพคล่องยังล้น ดอกเบี้ยยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับขึ้นในปี 2564 ธนาคารกลางทั่วโลกยังใช้นโยบายผ่อนคลายการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มเพดานหนี้โดยไม่มีคำค้าน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องใช้เงินกระตุ้นเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจโดยรวมตกต่ำ สภาพคล่องที่ยังล้นและดอกเบี้ยต่ำส่งผลตีต่อตลาดหุ้น ในขณะที่ตราสารหนี้ไม่น่าสนใจ ส่วนต่างผลตอบแทน Yield Gap ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ยังสูง จูงใจให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นต่อไป ASIA หลายประเทศมีดอกเบี้ยนโยบายที่สูงกว่า US และ EU ทำให้มี Policy Space ในการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- Valuation หลายตลาดอยู่ในระดับที่สูงแต่สมเหตุสมผล โดยได้รับปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ สภาพคล่องที่ล้น ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นและในบางประเทศหรือกลุ่มอุตสาหกรรมมีอัตราเดิบโตที่ดี อย่างเช่น จีน เวียดนาม กลุ่มเทคฯ ที่มียอดขายหรือกำไรที่โตระดับ 20-30% ต่อปี และมีโอกาสเติบโตได้จากการที่ Disrupt ธุรกิจดั้งเดิมจึงทำให้ราคาเมื่อเทียบกับกำไรหรือ PE อาจจะสูงได้ 30-50 เท่า
Theme การลงทุนที่น่าสนใจ 2021
- TMB-ES-GINNO ลงทุนผ่าน Nikko AM ARK Disruptive ลงทุนผ่านคำแนะนำจาก ARK Invest ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นกลุ่มนวัตกรรม มีผลงานโดดเด่น มุ่งใน 5 Platform หลักที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ 1. DNA Sequencing 2. Robotic 3. Energy storage 4. AI ปัญญาประดิษฐ์ และ 5. Blockchain
- ONE-DISC-RA กองทุนต้นทาง Baillie Gifford Worldwide Discovery Fund มุ่งหาหุ้นทั่วโลกที่มีการเติบโตสูง เราคุ้นเคย ONE-UGG-RA ซึ่งก็ลงผ่าน Baillie Gifford เช่นเดียวกันแต่จะเป็นหุ้นที่เติบโตมาระดับหนึ่งจนมีขนาดใหญ่แล้ว แต่ ONE Discovery จะค้นหาหุ้นขนาดกลาง เล็ก ที่มีศักยภาพการเติบโต มีนวัตกรรมที่สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยจะลงทุนในช่วงก่อนจะเติบโตเต็มที่ มี Room ในการเติบโตอีกมาก ใช้กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up เลือกที่ตัวบริษัทที่มีความโดดเด่นแตกต่าง มีนวัตกรรม สินค้าและบริการที่ดีเยี่ยมที่สามารถ Disrupt คู่แข่งหรือธุรกิจเก่า ใช้ Big Data เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม สามารถขยายกิจการได้ โดยจะเริ่มลงทุนบริษัทที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีโอกาสเติบโตเป็น Big Cap ได้ในอนาคต
- กองทุนจีน มีความน่าสนใจจากการเติบโตที่ดี มีโอกาสเติบโตจนขนาดเศรษฐกิจพอๆกับสหรัฐฯ ภายใน 10 ปีนี้ มีจำนวนประชากรที่มาก การบริโภคภายในประเทศแข็งแกร่ง มีบริษัทนวัตกรรมที่โดดเด่นไม่แพ้ฝั่งตะวันตก และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจมุ่งไปทาง New Economy กองทุนที่เราชอบ BCHINE-EQ ที่กระจายลงทุนในจีนที่หลากหลาย แต่เน้นบริษัทที่เติบโตดี และ BCAP-CTECH กองทุนเทคจีนที่มีทั้งเทคฯ และ Ecommerce
- กองทุนเอเชีย เอเชียได้รับความสนใจจากนักลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2563 Flow การลงทุนไหลเข้าเอเชียมากขึ้น จีงทำให้เอเชียปี 2564 เป็นภูมิภาคที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเอเชียเหนือที่มี จีน เกาหลี ใต้หวัน ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เครื่องมือเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ เซนเซอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในสินค้าเทคโนโลยี อย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ มือถือ กองทุนที่น่าสนใจ B-ASIA ลงทุนเอเชียเหนือทั้งจีน เกาหลี ไต้หวัน ซึ่งเข้ากับ Theme นี้ หุ้นในพอร์ตมี IT, Ecommerce ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- กองทุนหุ้นไทย ด้านไทยเองนักลงทุนมีมุมมองว่าเป็น Best Potential of Turnaround Story in 2564 จากการที่ไทยได้รับผลกระทบหนักจาก COVID หากการเปิดเมืองฟื้นตัว การเดินทางปรกติและ SET มีสินค้าโภคภัณฑ์อยู่มากจะได้รับผลดีเมือเปิดเมืองและเศรษฐกิจโลกกลับมาปรกติ เราชอบ ASP-THEQ ที่ลงทุนหุ้นขนาดกลาง ใหญ่ พอร์ต Active ปรับตามสถานการณ์ ตอนนี้เน้น Commodity และ Bank ซึ่งปี 2563 ที่ผ่านมาชนะ SET ถึง 16% (กอง+8% SET -8%)
- กองทุนหุ้นเวียดนาม เราแนะนำ KFVEIT-A เวียดนามเติบโตแข็งแกร่งและ มีโอกาสอีกมากสำหรับการลงทุนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของกำไรเทียบเท่า Nasdaq ได้เลย แต่ราคาหรือ PE ถูกกว่ามาก ด้วยศักยภาพการเติบโตที่สูง GDP เฉลี่ย ระดับ 6-7% เรามองว่าเวียดนามมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว ประชากรที่มากและอยู่ในวัยหนุ่มสาว วัยแรงงานมีมาก การกินใช้บริโภคส่งออกมีโอกาสแซงไทยในอีกไม่กี่ปี เวียดนามจึงเหมือนหุ้น Growth ในราคาที่ Value
- Sector ที่ Laggard ปี 2563 ที่ผ่านมากลุ่มกองอสังฯ REITs Infrastructure Fund ได้รับผลกระทบเต็มที่ ห้างสรรพสินค้า Office Building คนใช้น้อยลง แต่ถ้าการเปิดเมืองจากวัคซีนกลุ่มนี้มีโอกาสกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งจากดอกเบี้ยที่ต่ำมาก แต่กองทุนอสังหาฯ ยังสามารถปันผลให้ Yield เฉลี่ยที่ 4-5% ได้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยช่วยชดเชยความเสี่ยงพอสมควร กองทุนที่น่าสนใจคือ RINCIPAL iPROP-D ที่กระจายลงทุนทั้งไทยและสิงค์โปร ซึ่งมี REITs อย่าง DATA Center เข้ากับยุคสมัย โดยกองนี้เหมาะสำหรับคนที่เน้นถือยาวรอรับปันผล ณ ราคาปัจจุบัน Downside ต่ำแล้ว
- ONE-GECOM โตไปกับกระแส Online E-commerce กองทุนหุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Online , E-Commerce ทั่วโลก การเติบโตยังต่อเนื่อง สัดส่วนการซื้อขาย Online กับ Traditional ยังอยู่ประมาณ 20% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดกันที่ 25% ในปี 2563 ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนดีเยี่ยม ปีนี้ยังมีโอกาสไปต่อ กองทุนลงทุนผ่าน IBUY แม้จะเป็น ETF แต่เมื่อถึงรอบการปรับพอร์ตก็ปรับค่อนข้าง Active
- ASP-IHEALTH กอง Healthcare ที่เน้นนวัตกรรม ค้นคว้าวิจัย ใช้เทคโนโลยี Digital ในการรักษา เทรนด์สุขภาพยังไปได้อีกไกล จากการที่มีนวัตกรรมให้คนมีอายุยืนยาว มีวิธีการรักษาโรคร้ายแรง เรื้อรัง ตัวอย่างเช่น มะเร็ง เบาหวาน ได้ดีมากขึ้น
- LHESPORT-A อุตสาหกรรมเกม E-sport เติบโตอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันชิงรางวัลใหญ่กว่า มีผู้ชมมากกว่ากีฬาปกติด้วยซ้ำ อุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่องทั้งผู้เล่น ผู้ชม และผู้ผลิตเกม
- PRINCIPAL GCLOUD-A กองทุนด้านธุรกิจ Cloud Computing ปัจจุบัน Software ต่างๆใช้ระบบ Cloud เกือบหมดแล้วกลายเป็น Software as a Service การเก็บข้อมูลมากมายขนาดใหญ่อย่าง Bigdata ก็ทำบน Cloud ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เร็วมากขึ้น ทำให้การบริการ Cloud จึงสะดวกและประหยัดกว่า ตอบสนองได้รวดเร็ว สามารถให้บริการเช่าใช้เป็นรายเดือน ผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมากซึ่งทำให้ผู้ให้บริการมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตมากขึ้น
ปี 2564 เชื่อว่าจะมีแรงส่งการขับเคลื่อนต่อจากปี 2563 กลุ่มที่เติบโตดียังมีแรงส่งต่อและเป็นปีแห่งการฟื้นตัว Turnaround โดยเฉพาะตลาดไทย ซึ่งเราก็จะเห็นได้ว่าในช่วงต้นปีตลาดหุ้นคึกคักต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการกระจายการลงทุนยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่จะลดความเสี่ยงความผันผวนในปีนี้ โดยธีมการลงทุน ใหม่เล็ก รอง Laggard โดยที่ ใหม่เล็ก (ธุรกิจใหม่ๆ มีนวัตกรรม ขนาดกลางเล็ก กอง TMB-ES-GINNO, ONE-DISC-RA) รอง (ตลาดรองอย่าง Emerging Asia กอง B-ASIA ,KF-VIET-A) Laggard (ตลาดที่ยังอยู่ล่างๆ มาท้ายๆอย่างไทย กลุ่ม Commodity สถาบันการเงินและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs กอง ASP-ERF , PRINCIPAL iPROP-D)
ลงทุนอย่างมีวินัยด้วย DCA ผ่าน Streaming for Fund
สำหรับนักลงทุนหลายๆท่านที่ไม่รู้จะเข้าซื้อกองทุนช่วงไหน จับจังหวะไม่ถูก ก็สามารถส่งคำสั่งซื้อกองทุนด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost-Averaging) ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสะสมทรัพย์สินได้ทีละน้อยๆ โดยไม่ต้องทุ่มเงินก้อนใหญ่เพียงทีเดียว ท้ายที่สุดก็จะได้ต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป สามารถทำรายการผ่าน Streaming for Fund ได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. Fund Code – ระบุชื่อกองทุนที่ต้องการซื้อ หรือ คลิก เพื่อค้นหาจากรายการ
2. Amount – ระบุจำนวนเงิน (บาท)
3. Frequency – ความถี่ในการลงทุน สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ Monthly รายเดือน, Weekly รายอาทิตย์
- กรณีที่เลือก Monthly สามารถเลือกระบุวันลงทุนได้ วันที่ 1–31
- กรณีที่เลือก Weekly สามารถเลือกระบุวันลงทุนได้ วันจันทร์ – ศุกร์
4. Valid From – ระยะเวลาเริ่มต้นลงทุน (สามารถเลือกได้ตั้งแต่วันที่ปัจจุบันถึง 1 ปีข้างหน้า)
5. Valid To – ระยะเวลาสิ้นสุดการลงทุน (สามารถเลือกได้ตั้งแต่วันที่ปัจจุบันถึง 1 ปีข้างหน้า)
6. Payment Type – ชำระเงินเพื่อซื้อกองทุนผ่านบริการหักเงินจากบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) ** กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ 5,000 บาท **
7. ระบุ PIN จากนั้นกด SUBMIT ตรวจสอบความถูกต้อง และกด Confirm
เปิดบัญชีกองทุนออนไลน์…พร้อมซื้อได้ครบที่เดียว 17 บลจ.
อ่านวิธีเปิดบัญชีกองทุน…คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น